รับลงโฆษณา

ในที่สุดก็ผ่านกันมาถึงรอบชิงชนะเลิศกันแล้วสำหรับศึกฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง “เอฟเอคัพ” ภายใต้การบริหารจัดการของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (The Football Association หรือ FA) ปรากฏว่าในปีนี้ก็ถือเป็นรอบชิงชนะเลิศแบบ “ซ้ำเดิม” กับปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ผ่านเข้ามาดวลกับคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามเวมบลีย์อีกครั้ง ซึ่งนอกจากทั้งสองทีมจะมีเรื่องราวและเส้นทางในรายการเอฟเอคัพที่แตกต่างกันมาก ๆ แล้ว การที่ทั้งสองทีมได้มาพบกันเป็นครั้งที่สองติดกัน ยังถือเป็นประวัติศาสตร์ในรอบเกือบ 140 ปีของวงการฟุตบอลอังกฤษอีกด้วย แต่จะเป็นประวัติศาสตร์ยังไงนั้น ต้องอดใจรอกันสักครู่ เพราะเราจะไปติดตามดูเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศของทั้งสองทีมกันก่อน

เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศศึก “เอฟเอคัพ” ของทั้งสองทีม

“แมนเชสเตอร์ ซิตี้” เริ่มต้นเส้นทางป้องกันแชมป์เอฟเอคัพในรอบที่สาม ด้วยเกิดเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมลีกรองอย่าง “ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์” และถลุงพวกเขากลับบ้านไป 5-0 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ก่อนจะบุกไปเฉือนเอาชนะทีมของแสดงอย่าง “ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์” 1-0 ถึงกรุงลอนดอนในรอบที่สี่ สำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือรอบที่ห้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องออกไปเยือนอีกครั้ง ในรอบนี้ต้องเดินทางไปยังสนามเคนิลเวิร์ธ สเตเดี้ยม ของ “ลูตัน ทาวน์” ซึ่งซิตี้ก็สามารถถล่มเอาชนะไปได้อย่างกระจุยกระจาย 6-2 ผ่านเข้าไปเล่นรอบแปดทีมสุดท้าย พบกับเจ้าสัวใหม่ “นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด” และเอาชนะไปได้สบาย ๆ 2-0 สำหรับในรอบรองชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ซิตี้มาได้ประตูชัยท้ายเกม เฉือนเอาชนะ “เชลซี” ไป 1-0 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน

เช่นเดียวกัน “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เริ่มต้นเดินทางในรอบสาม และสามารถเอาชนะทีมจากลีกรองไปได้สามรอบติด ๆ ได้แก่ แชมป์เก่าปี 2013 “วีแกน แอธเลติก” ในรอบสามด้วยสกอร์ 2-0 เอาชนะทีมจากเวลส์ “นิวพอร์ต เคาน์ตี้” ด้วยสกอร์ 4-2 และ “น็อตติงแฮม ฟอเรสต์” 1-0 ก่อนจะมาเจองานหินในรูปของศึกแดงเดือดกับ “ลิเวอร์พูล” ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็มาฟอร์มขึ้นถูกเวลา สามารถเอาชนะลิเวอร์พูลไปได้อย่างสุดมันส์ 4-3 ก่อนจะเข้าไปดวลกับอีกหนึ่งทีมลีกรอง “โคเวนทรี ซิตี้” ในรอบรองชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็สามารถขึ้นนำไปได้ถึง 3-0 ก่อนนาทีที่ 60 แต่กลับมาถูกตีเสมอ 3-3 และเกือบจะเเพ้ในช่วงท้ายการต่อเวลาพิเศษ เนื่องจากวิคเตอร์ ทอร์ปยิงเข้าประตูไปแล้ว แต่ถูกจับล้ำหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจึงรอดไปดวลจุดโทษกับโคเวนทรี และสามารถเอาชนะไปได้ 4-2 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพเป็นสมัยที่สองติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2005

ข้อเท็จจริงน่ารู้เกี่ยวกับ “โคเวนทรี ซิตี้” ถ้าหากได้เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ

ถ้าหากว่า “โคเวนทรี ซิตี้” สามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปได้ในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาจะกลายเป็นทีมฟุตบอลที่ไม่ได้เล่นในลีกสูงสุด ณ ขณะนั้นทีมแรกในรอบ 16 ปีที่สามารถผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศศึกเอฟเอคัพได้ นับตั้งแต่ “คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้” เข้าชิงชนะเลิศกับ “พอร์ตสมัธ” ในฤดูกาล 2007/2008 แต่ก็พ่ายแพ้ไป 0-1

ประวัติศาสตร์ต้องจารึก! คู่ชิงซ้ำสองปีติดครั้งแรกในรอบเกือบ 140 ปี

ด้วยการที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้าชิงชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นครั้งที่สองติดต่อกันในฤดูกาลที่แล้วและฤดูกาลปัจจุบัน ทำให้รอบชิงชนะเลิศของรายการเอฟเอคัพมีคู่ชิงเหมือนฤดูกาลก่อนหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1885 หรือพ.ศ. 2428 (สมัยรัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว) ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่าง “แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส” และ “ควีนส์ ปาร์ก” และก็เป็นแบล็กเบิร์นที่สามารถเอาชนะไปได้ทั้งสองสมัย คว้าแชมป์เอฟเอคัพสองสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ

ในการแข่งขันของสองทีมในปีที่สองติดต่อกันในรอบ 140 ปีที่จะมาถึงในวันที่ 25 พฤษภาคม 2024 นี้ เมื่อดูจากฟอร์มการเล่นและอัตราบ่อนพนันถูกกฎหมายของสหราชอาณาจักรแล้ว ก็คงจะได้แต่ฟันธงว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะสามารถป้องกันแชมป์เอฟเอคัพจากเงื้อมมือของคู่ปรับร่วมมือได้สำเร็จอีกครั้ง แต่ ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านคิดเห็นไม่ตรงกัน หรืออยากจะเดิมพันด้วยตัวเองเพื่อทำกำไรงาม ๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้ผ่านเว็บไซต์ M88 ตามลิงค์ทางเข้าm88 ตรงนี้ได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น