5 ข้อดี MOU และ MOU คืออะไร? แล้วทำไมถึงต้องทำ MOU
MOU คืออะไร? MOU หรือ Memorandum of Understanding คือเอกสารที่ใช้ในการระบุข้อตกลงระหว่างฝ่ายสองหรือมากกว่าฝ่ายเพื่อระบุความตระหนักและความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งๆ โดยมักจะใช้ในบรรยากาศที่ไม่ใช่ข้อตกลงทางกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งหมายความว่า MOU ไม่ได้มีผลบังคับกฎหมายเหมือนข้อตกลงทางกฎหมายทั่วไป แต่มันช่วยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถมีความเข้าใจและความตระหนักร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการพูดคุยหรือร่วมมือกันในอนาคต
MOU มักถูกใช้ในหลายสถานการณ์ เช่น
- ระบุข้อตกลงเบื้องต้น MOU ช่วยในการระบุข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องทำสัญญาทางกฎหมายที่ซับซ้อนเท่านั้น นี้ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการและเวลาที่ใช้ในการเริ่มโครงการหรือการร่วมมือ.
- บ่งชี้ความร่วมมือ MOU ช่วยในการบ่งชี้ความร่วมมือและวัตถุประสงค์ของโครงการหรือความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ต้องการในโครงการนั้น.
- สร้างความเข้าใจร่วมกัน MOU ช่วยในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ระบุในเอกสาร นี้ช่วยลดความขัดแย้งและความไม่เข้าใจในอนาคต.
- การบรรลุเป้าหมายร่วม MOU ช่วยในการกำหนดเป้าหมายและผลผลิตที่ควรจะเกิดขึ้นจากความร่วมมือ นี้ช่วยในการวัดผลและประเมินความสำเร็จของโครงการหรือความร่วมมือในภายหลัง.
- ความยืดหยุ่น MOU มักมีลักษณะที่เป็นข้อความที่ไม่เป็นทางกฎหมาย ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหาหรือเงื่อนไขของ MOU ได้ตามความเหมาะสมและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงในระหว่างการดำเนินโครงการหรือความร่วมมือ
สำหรับเหตุผลที่ต้องทำ MOU นั้นมีหลายอย่าง อาจเป็นเพื่อระบุข้อตกลงเบื้องต้นก่อนที่จะทำข้อตกลงทางกฎหมาย หรือเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจความตระหนักและมีเอกสารที่บ่งชี้การร่วมมือร่วมกัน โดยทั่วไป MOU มักจะมีลักษณะที่เป็นข้อความที่ไม่เป็นทางกฎหมาย และมีการเน้นความเข้าใจและความร่วมมือของฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่กำหนดใน MOU ในระยะยาวหรือในการพัฒนาโครงการต่อไป
นั่นคือ 5 ข้อดีหลักของ MOU แต่ควรจำไว้ว่า MOU เป็นเอกสารที่ไม่มีผลบังคับกฎหมาย ดังนั้น เมื่อต้องการความเท่าเทียมและความมั่นใจในการระบุข้อตกลงระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาทำสัญญาทางกฎหมายเพื่อให้มีความถูกต้องและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น.